เอสซีจี แบดมินตัน อคาเดมี “ปรับโฉม”เพื่อผลงานที่ดีกว่าเดิม

“เอสซีจี แบดมินตัน อคาเดมี” ถือได้ว่าเป็นศูนย์ฝึกที่บ่มเพาะนักกีฬาแบดมินตันออกมาประดับวงการได้อย่างต่อเนื่อง และมีนักแบดมินตันหลายคนที่ก้าวขึ้นไปสู่กำลังหลักของทีมชาติในปัจจุบันนี้

โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีที่ประสบความสำเร็จอย่างมากที่นักแบดมินตันในโครงการอย่าง “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์, “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน, “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย และ “เอิร์ธ” พุธิตา สุภจิรกุล เป็นกำลังสำคัญช่วยให้ทีมชาติไทยกวาดมาได้ถึง 4 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 4 เหรียญทองแดง ในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 29

แต่ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมา “เอสซีจี แบดมินตัน อคาเดมี” ก็ยังไม่หยุดที่จะปรับเปลี่ยนและแก้ไขข้อบกพร่องเพื่อที่จะพัฒนาศักยภาพของนักกีฬาและผู้ฝึกสอนยิ่งๆ ขึ้นไป และในปีพ.ศ. 2561 ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงในแคมป์ของเอสซีจี แบดมินตัน อคาเดมี มากพอสมควรเลยทีเดียว

นายณปภัช ประไพตระกูล ผู้จัดการโครงการเอสซีจี แบดมินตัน อคาเดมี กล่าวว่า เหตุผลที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เพราะเป้าหมายของทางแคมป์นั้นคือการไปสู่ความเป็นเลิศในระดับนานาชาติจนถึงระดับโลก การดำเนินงานด้านต่างๆต้องปรับเพื่อให้มีคุณภาพมากขึ้น ทั้งการพัฒนาบุคลากร รายละเอียดโปรแกรมฝึกซ้อมแบดมินตันต้องสอดคล้องและเชื่อมโยงกับการเตรียมสมรรถภาพทางร่างกายของนักกีฬา มีการรวบรวมสถิติข้อมูลฝึกซ้อมและทดสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อนำข้อมูลมาประเมินผลในการพัฒนาโปรแกรมฝึกซ้อมให้มีประสิทธิภาพต่อไป

“ในส่วนนักกีฬา ทีมงานผู้ฝึกสอนมีการเรียกคุย feedback แนะนำ ให้เวลา ให้โอกาสในการปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุงข้อบกพร่องตนเอง เป็นประจำ รวมทั้งพฤติกรรมที่จะส่งผลต่อการเป็นนักกีฬา เราจำเป็นต้องเลือกนักกีฬาที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนและแสดงศักยภาพเพื่อไปสู่เป้าหมายได้เท่านั้น”

ผู้จัดการโครงการเอสซีจี แบดมินตัน อคาเดมี กล่าวอีกว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญที่นำมาใช้ในการพิจารณานักกีฬาก็คือเรื่องของระเบียบวินัยที่จะเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมานั้นระเบียบของแคมป์เอสซีจีฯจะเข้มข้นแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้เรามีเป้าหมายที่สูงขึ้น เราจึงต้องยกระดับไปเปรียบเทียบกับชาติชั้นนำอย่างเกาหลีใต้ หรือว่าญี่ปุ่น ซึ่งต้องทำให้ได้เทียบเท่าหรือดีกว่า

“ระเบียบวินัยเราไม่ได้ดูเพียงแค่การฝึกซ้อมเท่านั้น แต่มองลึกกันไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะถ้าหากมีพฤติกรรมมักง่าย หรือความไม่เป็นระเบียบเช่น ตื่นนอนมาแล้วไม่เก็บที่นอน สิ่งเหล่านี้มันจะส่งผลกระทบถึงรายละเอียดการเล่นในสนามได้ และการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันนั้น ไม่ใช่แค่ทำได้เป็นพักๆ แล้วก็กลับมาเป็นแบบเดิม อันนั้นจะส่งผลให้เห็นเลยว่าถ้าหากแข่งเกมที่สูสี หรือโดนกดดัน อุปนิสัยเหล่านี้มันก็จะกลับมาอีกเช่นกัน”

“สิ่งที่ทีมงานผู้ฝึกสอนปลูกฝังให้นักกีฬามาคือจะไม่มีการอ้างหรือโทษสภาพแวดล้อมต่างๆ ในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นไฟเข้าตา หรือมีลมพัด แต่จะเน้นให้เด็กๆ ได้ดูว่าตัวเองมีจุดบกพร่องอะไร เพราะเราไม่ได้สนใจเรื่องของการแพ้-ชนะ แต่ต้องรู้ว่าแพ้เพราะอะไร จะต้องนำมาปรับปรุงกันต่อไป ซึ่งทุกครั้งหลังการแข่งขัน ทีมสต๊าฟโค้ชจะพูดคุยกับนักกีฬาทันที เพราะนักกีฬายังจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมได้ และรับฟัง จดบันทึก เพื่อนำไปแก้ไขกันต่อไป”

นายณปภัช กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาเราจะคุยกับเด็กตลอด ให้ทบทวนเป้าหมายของพวกเขาเป็นประจำ มีอะไรที่ต้องแก้ไขบ้าง แล้วเขาได้ทำตามหรือยังไม่ได้ทำสิ่งใดหรือไม่สิ่งเหล่านี้ผลมันจะออกมาให้เห็นชัดในการฝึกซ้อมหรือแข่งนั่นเอง

อย่างไรก็ตามคงไม่ใช่เรื่องของการปรับที่ตัวนักกีฬาอย่างเดียวเท่านั้น ทางด้านของผู้ฝึกสอนเองก็จะต้องมาดูเช่นกันว่าเวลาคุมเด็กเป็นอย่างไร

นายณปภัช กล่าวอีกว่า ในส่วนของทีมผู้ฝึกสอน ตอนนี้ถือว่ายังมีเพียงพออยู่ แต่ก็อาจจะมีการหาเพิ่ม เพียงแต่คนที่จะเข้ามานั้นก็ต้องเป็นโค้ชที่สามารถเข้ากับระบบของทีมได้ เนื่องจากว่าต้องมีการทำงานร่วมกันเป็นทีม

สำหรับเป้าหมายของแคมป์เอสซีจี ในปีนี้ นายณปภัช กล่าวว่า ในส่วนของผู้เล่นชุดใหญ่ มองเป้าที่เอเชี่ยนเกมส์ 2018 ที่อินโดนีเซีย ซึ่งมี 4 นักกีฬาของแคมป์ติดทีมชาติแล้วในปัจจุบันคือ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์, “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน, “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย และ “เอิร์ธ” พุธิตา” สุภจิรกุล ซึ่งหวังไว้ว่าจะต้องมีเหรียญกลับมา ส่วนในรุ่นเยาวชนก็จะเป็นการแข่งขันรายการเยาวชนโลก

ขณะที่ในส่วนของบุคลากรนั้น ก็ตั้งเป้ายกระดับของทีมบุคลากรในส่วนต่างๆ รวมถึงนักกีฬา ให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น การทำงานจะต้องสามารถเชื่อมโยงกันได้ การนำวิทยาศาสตร์การกีฬามาเสริมใช้ให้สอดคล้องกับกีฬาแบดมินตัน จะเข้มข้นยิ่งขึ้น สิ่งที่ฝึกจะต้องรู้ว่านำมาใช้อะไรได้บ้าง

เชื่อว่า ความจริงจัง ความตั้งใจในการพัฒนาจะเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน