การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นักตบขนไก่ทีมชาติไทยช่วยกันกวาดมาได้ 4 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน 4 เหรียญทองแดง ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ถึง 4 เหรียญทอง และคว้าเจ้าเหรียญทองในกีฬาแบดมินตันซีเกมส์มาครองได้เป็นครั้งแรก
ทัพนักแบดมินตันที่ได้รับการดูแลจากเอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่ ถึง 4 คน ที่ไปร่วมสร้างประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ คือ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ได้ 2 เหรียญทองจากคู่ผสมและทีมหญิง 1 เงินจากหญิงคู่, “เอิร์ธ” พุธิตา สุภจิรกุล ได้ 1 เหรียญทองจากทีมหญิง และ 1 เหรียญเงินจากหญิงคู่, “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ ได้ 2 ทองจากคู่ผสมและชายคู่ 1ทองแดงจากทีมชาย, “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน ได้ 1 ทองจากชายคู่ 1 ทองแดงจากทีมชาย
สำหรับชายคู่นั้นถือเป็นเหรียญทองซีเกมส์ประเภทนี้ ในรอบ 18 ปี ขณะที่เดชาพล เป็นนักแบดมินตันคนที่สองของไทยที่คว้าเหรียญทองทั้ง 2 ประเภทที่เข้าชิง ต่อจาก เพ็ญแขโพธิ์งาม ที่ทำได้เมื่อปี 1961 อีกด้วย
“โค้ชโอม” เทศนา พันธ์วิศวาส หัวหน้าผู้ฝึกสอนของเอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่ บอกถึงเทคนิคที่ทำให้ทั้ง 4 คนประสบความสำเร็จจากทัวร์นาเมนต์ซีเกมส์ว่า วิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นหัวใจของอะคาเดมี่แห่งนี้ มีการนำเอา 5 ศาสตร์สำคัญมาใช้ คือ การเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย ด้านจิตวิทยาทางการกีฬา ด้านโภชนาการทางการกีฬา ด้านเวชศาสตร์ทางการกีฬา และด้านชีวกลศาสตร์ทางการกีฬา มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
“วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ ดังนั้นเราจึงสามารถรู้จักนักกีฬาของเราได้จากศาสตร์เหล่านี้ ถ้ามีปัญหาหรือความผิดปกติเกิดขึ้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะช่วยกันหาคำตอบว่าเกิดจากอะไร แค่นักกีฬาหายใจผิดจังหวะก็ต้องรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วหาวิธีแก้ไขกัน”
“โค้ชโอม” บอกอีกว่า ถึงแม้ว่าอะคาเดมี่แห่งนี้จะมีให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ฝึกซ้อมมาตรฐานสูง ที่พัก อาหาร วิทยาศาสตร์การกีฬา การดูแลเรื่องส่วนตัว แต่ปัจจัยสำคัญอีกอย่าง คือ ตัวนักกีฬาเอง ที่ต้องมีระเบียบวินัย รู้หน้าที่ว่าเมื่อไรต้องซ้อม ต้องเรียน และต้องเล่น เนื่องจากความมีระเบียบเป็นคุณสมบัติของนักกีฬาระดับโลก
“ผมว่าที่เราประสบความสำเร็จมาได้ เพราะทุกคนมีความรับผิดชอบ รู้หน้าที่ของตัวเอง และนำเอาเทคนิคต่างๆ ไปใช้ได้ดี เหมือนตอนที่หลายคนบ่นว่าซีเกมส์มาเลเซีย เราจะเจอลูกตุกติกจากเจ้าภาพแน่ๆ และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ผมบอกทุกคนไปแล้วว่า ที่เขาตุกติกเพราะอยากให้เราหงุดหงิด ถ้าเราไม่หงุดหงิด เราก็ถือว่าชนะเขา อยากให้ทุกคนหัวเราะไปกับมัน อย่าไปหงุดหงิด แค่นั้นเราก็ชนะเขาแล้ว”
เทคนิคนี้ใช้ได้ดี นักตบขนไก่จากเอสซีจี อะคาเดมี่ รวมทั้งนักแบดมินตันทีมชาติไทยคนอื่นๆ ไม่ออกอาการหัวเสียให้เห็น และสามารถเอาชนะได้หลายต่อหลายแมตช์จนเป็นความสำเร็จอย่างที่เห็น
สำหรับปอป้อที่ได้รับบาดเจ็บจากซีเกมส์กลับมา ต้องพักรักษาและฟื้นฟูสักระยะหนึ่ง แต่เจ้าตัวยอมรับว่าอาการเจ็บไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพราะเอสซีจี อะคาเดมี่ทำให้อุ่นใจในเรื่องนี้
“ตอนนี้คงต้องใช้เวลารักษาอาการบาดเจ็บ และฟื้นฟูแต่ไม่เป็นกังวล เพราะการอยู่กับอะคาเดมี่ มีทีมเวชศาสตร์กีฬาคอยดูแลตลอดเวลา รวมทั้งทีมวิทยาศาสตร์การกีฬาด้านอื่นที่ครบถ้วน อย่างไรก็ตามป้อจะเอาอาการบาดเจ็บครั้งนี้มาเป็นบทเรียน ให้ดูแลรักษาร่างกายตัวเองให้ดีกว่านี้”
“โค้ชโอม” เล่าถึงเป้าหมายของนักตบขนไก่ชุดใหญ่ในเอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่หลังจากนี้ว่า มองไปถึงการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่อินโดนีเซีย ในปีหน้า และโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นงานที่หนักกว่าซีเกมส์มาก ทำให้ต้องมีการเตรียมทีมกันเป็นอย่างดี
“เราเตรียมทีมซีเกมส์มาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว และหลังจากนี้จะเดินหน้าเตรียมทีมโอลิมปิก 2020 เลย เนื่องจากเป็นงานที่ยากขึ้น ไม่ใช่แค่ไปชนะนักกีฬาในภูมิภาคเหมือนซีเกมส์แล้ว ทำให้ต้องเตรียมตัวเก็บคะแนนขยับอันดับโลก และรักษาอันดับเอาไว้เพื่อให้ไปโอลิมปิกให้ได้”
ขณะที่ปอป้อ, เอิร์ธ, สกาย, บาส ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เป้าหมายที่วางไว้ คือ การหยิบเหรียญรางวัลในเอเชี่ยนเกมส์ก่อนเป็นลำดับแรก หลังจากนั้นก็ไปลุ้นคว้าเหรียญประวัติศาสตร์ในโอลิมปิกเกมส์กันต่อ
จะเป็นไปได้หรือไม่ ต้องใช้เวลา ความทุ่มเท และกำลังใจมากมายทีเดียว.